เชื่อหรือไม่ว่า ทุกข์สมัยนี้กับทุกข์สมัยก่อนเหมือนกัน แต่ถูกอธิบายด้วยความหมายที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
“ผู้ที่อ่อนแอไม่สามารถให้อภัยใครได้
เพราะการให้อภัยได้นั้น นับเป็นความเข้มแข็งที่แท้จริง”
เมื่อทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม ก็ลองปรับใจตัวเองให้วางลง อย่าวุ่นวายไปตามเหตุการณ์ภายนอกมากนัก
เพราะแม้แต่ชีวิตเราก็อยู่เหนือการควบคุม อยากจะให้สุข บางทีก็ทุกข์ อยากจะหายทุกข์ ก็กลับทุกข์มากขึ้น ลองคิดใหม่ว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไป พยายามรักษาใจตัวเองให้เป็นปกติก็พอ และเมื่อหยุดโกรธได้ ชีวิตคุณก็จะเป็นสุข
ศิลปะของการปล่อยวาง
1. ปล่อยวางความโกรธ มีความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น
มีคำกล่าวว่า “ความโกรธ คือ ยาพิษที่คุณกลืนลงคอตัวเอง เพื่อหวังฆ่าคนอื่น”
ความหมาย ก็คือ เมื่อคุณโกรธ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อเกร็ง ความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าเกิดเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แล้วดับไป ก็จะไม่เป็นอันตรายนัก แต่ถ้ามีอารมณ์โกรธแค้นฝังลึกอยู่ในจิตใจตลอดเวลา มันจะส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาว เมื่อตอบโต้คนที่ทำไม่ดีกับคุณแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เช่น แกเกลียดฉัน ฉันก็เกลียดแก นั่นเท่ากับว่า คุณทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาซะเอง
เมื่อคุณโกรธแค้นใครบางคน นั่นไม่เพียงคุณกำลังทำร้ายตัวเอง แต่กลับปล่อยให้คนนั้นควบคุมสภาพอารมณ์ของคุณอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือปล่อยวางความโกรธ อย่าไปยึดมั่นไว้ในใจ พยายามทำตัวเองให้มีความสุข มีความรักและปรารถนาดีให้ผู้อื่นเสมอ
2. อย่าคิดแก้แค้น
หากต้องการแก้แค้น การแก้แค้นที่ดีที่สุดคือ
“การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ ถ้าคุณสามารถฝึกตนเองให้คิดดี ทำดีได้ตลอด จะส่งให้คุณมีพลังดึงดูดคนที่คิดดีทำดีเข้ามาในชีวิต”
ดังคำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์และนักปรัชญาชื่อก้องโลก ที่กล่าวไว้ว่า
“คุณไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เมื่อคุณหมกมุ่นอยู่กับความคิด และความรู้สึกด้านลบ”
วิธีที่จะช่วยให้คุณโฟกัสความคิดด้านบวกได้คือ ฝึกท่องคำว่า “รัก ให้อภัย ปล่อยวาง สันติสุข” ไว้ตลอดเวลานั่นเอง
3. สวดมนต์แผ่เมตตา
เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีใครบางคนทำสิ่งไม่ดีกับคุณ ไม่ว่าจะทางกาย วาจา ใจ ปฏิกิริยาแรกที่คุณมี คือ โกรธคนคนนั้น
คุณสามารถควบคุมอารมณ์โกรธมิให้เกิดขึ้นแต่แรกได้ ด้วยการบอกตัวเองว่า “เราทั้งหลายล้วนเป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง” แล้วให้สวดมนต์แผ่เมตตาให้คนนั้น เพื่อเรียกสติของตัวคุณเองคืนมา พร้อมกับแผ่พลังด้านดีให้เขาด้วย
ภาพ : Shutter Stock
4. แสวงหาความสุขภายใน
จำไว้ว่า อย่าแสวงหาความสุขจากภายนอก เพราะมันไม่ยั่งยืน แต่จงให้ความสำคัญกับความรู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งดี ๆ ภายในจิตใจที่เปล่งประกายออกมา ถ้าคุณปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดและความเป็นตัวตนของคุณ ผันแปรไปตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มิอาจคาดเดา หรือความแปรปรวนทางอารมณ์ของผู้คนมากหน้าหลายตาละก็ บอกได้เลยว่า ความสุขใน ชีวิตคุณก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนรถไฟเหาะตีลังกาตลอดเวลานั่นเอง
เพราะความสุขที่แท้จริงนั้น เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากใจที่เบิกบานปีติยินดี ดังนั้น แทนที่คุณจะมัวหลงติดกับสิ่งแย่ ๆ ที่ทำให้คุณเกิดอารมณ์ขุ่นมัวในแต่ละวัน ก็ควรหันมานึกถึงเรื่องดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง วิธีนี้จะช่วยให้คุณผ่านพ้นแต่ละวันไปได้อย่างมีความสุขและแจ่มใส
5. อุปสรรคคือบททดสอบชีวิต
มีคำสอนในพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า อุปสรรคความทุกข์ยากบางอย่างที่คุณกำลังประสบอยู่นั้น เกิดแต่กรรมเก่า ยิ่งลำบากทุกข์มากเท่าไหร่ นั่นคือคุณกำลังชดใช้กรรมเก่าให้หมดไป
แต่ไม่ว่าคุณจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม มันก็จะทำให้คุณมีกำลังใจที่จะปรับปรุงแก้ไขเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งเป็นเสมือนการทดสอบความเป็นตัวตนของคุณ
และถ้าคุณรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบอยู่ จงถามตัวคุณเองว่า กำลังถูกทดสอบเรื่องอะไร ความอดทนอดกลั้น? ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น? ความยืดหยุ่น? การให้อภัย? การเปิดใจให้กว้าง? ความเข้มแข็ง? เมื่อได้คำตอบ แล้ว อย่ารอช้า… รีบปรับปรุงแก้ไขโดยเร็วที่สุด
6. มีทัศนะมุมมองที่ดี
ถ้าคุณกำลังเผชิญกับอุปสรรคความยากลำบากอยู่ ให้เตือนตัวเองว่า อุปสรรคความทุกข์ยากเหล่านั้นมิใช่ทั้งหมดของชีวิต มันเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้น แล้วก็จะผ่านพ้นไป
จงตั้งสติให้มั่น อย่าปล่อยให้ความทุกข์ยากเหล่านั้นมาบั่นทอนพลังในตัวคุณ เพราะเมื่อคุณเอาชนะมันได้ แน่นอนว่า สิ่งดี ๆ ก็จะเกิดตามมา ดังคำโบราณที่ว่า “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” นั่นคือ ไม่มีใครสุขตลอดหรือทุกข์ได้ตลอดไป