มีเรื่องที่น่าสนใจ เกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดนครพนม และถูกตำรวจไปจับกุมที่บ้านพักในจังหวัดนครพนม โดยอ้างว่าเป็นคนร้ายในคดีลักทรัพย์ ซึ่งก่อเหตุอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เหตุที่ตำรวจเชื่อว่า ชายคนดังกล่าวนี้เป็นผู้ก่อเหตุลักทรัพย์ เนื่องจากว่ามีสำเนาบัตรประชาชนของชายคนดังกล่าวเปิดเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อติดต่อกับเหยื่อก่อนที่จะก่อเหตุลักเพชรมูลค่าประมาณ 15,000,000 บาท ไปต่อหน้าต่อตาผู้เสียหาย แต่สุดท้ายศาลอุทธรณ์ก็มีคำพิพากษายกฟ้องชายคนดังกล่าว เนื่องจากมีพยานหลักฐานยืนยันว่าชายคนดังกล่าวนั้น อยู่ที่จังหวัดนครพนมในวันที่เกิดเหตุ
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ชายคนดังกล่าวต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำนานถึง 7 เดือนก่อนที่กระทรวงยุติธรรมจะเข้าช่วยเหลือ ในเรื่องของการประกันตัวและทางด้านคดีความ ผลที่ติดตามมายังไม่หมดเพียงแค่นั้นครับ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระหว่างที่จะต้องสู้คดี เพื่อพิสูจน์ตัวเองสูงเฉียด 1,000,000 บาท แม้จะได้รับเงินเยียวยาจากกระทรวงยุติธรรม แต่ก็ไม่สามารถที่จะบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงได้ทั้งหมด แทบสิ้นเนื้อประดาตัวก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังไม่รวมค่าเสียโอกาสต่างๆ รวมถึงกิจการร้านค้า ที่ปิดตัวไปนานก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เรียกได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่ชีวิตของผู้ชายบริสุทธิ์คนหนึ่ง แต่มีผลกระทบไปถึงภรรยา บุตร และญาติของชายคนดังกล่าวด้วย
อุทาหรณ์ครั้งนี้ มีความน่าสนใจตรงที่มีการปลอมบัตรประชาชนของผู้ชายคนดังกล่าว แม้กระทั่งตัวของผู้ชายคนดังกล่าวอยู่ในเรือนจำ คนร้ายก็ยังนำสำเนาบัตรประชาชนไปใช้เปิดเบอร์โทรศัพท์อีก
การปลอมบัตรประชาชนมีหลายวิธี และมีอัตราโทษต่างกัน ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนร้าย ดังนี้
การปลอมลายมือชื่อลงในสำเนาบัตรประชาชนของผู้อื่น เป็นเพียงการปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ หรือใช้เอกสารราชการปลอม และเมื่อนำสำเนาบัตรประชาชนที่เกิดจากการปลอมลายมือชื่อไปใช้ คนร้ายจะมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก
อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12137/2558